สงครามน้ำลาย‘ไทย-เขมร’4 ขายตรงลอยตัวไม่กระทบ
“ขายตรงไทย” ยัน!ปัญหาสัมพันธภาพไทย-กัมพูชา ยังไม่กระทบธุรกิจ “เอมสตาร์” ชี้ “ศูนย์พนมเปญ” ยังขายดี / “คังเซน-เคนโกฯ” เผยสมาชิกชาวเขมร ยังคงข้ามแดนซื้อสินค้ากลับบ้าน / “กิฟฟารีน” ย้ำยอดโตตามปกติ 1 -2 ล้านต่อ
สาขา / “วิน-วิน” ไม่หวั่น ยอดหายแค่หลักแสน เน้นอยากให้ “ไทย-เขมร” คืนดีกันเร็วๆมากกว่า
จากกรณีปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา กรณีที่นายกรัฐมนตรี สมเด็จฮุน เซน แต่งตั้งอดีตนายกรัฐมนตรีไทย พ.ต.ท.ดร.ทักษิน ชินวัตร เป็นที่ปรึกษากุนซือเศรษฐกิจกัมพูชาไปเมื่อกลางเดือนที่ผ่านมา จนก่อให้เกิดผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศไทยไปก่อนหน้านั้น นำมาซึ่งความหวาดวิตกของประชาชนทั้ง 2 ประเทศ โดยเฉพาะนักธุรกิจ พ่อค้าตามแนวชายแดน
สถานการณ์ดังกล่าวยังไม่คลี่คลายและดูเหมือนจะบานปลาย ด้วยมีการตอบโต้ทางการเมืองและการทหารทั้ง 2 ประเทศ แม้จะไม่รุนแรงถึงขั้นการสู้รบแต่ก็มีการยกกองกำลังมาประชิดชายแดน เพื่อเตรียมพร้อมเผชิญหน้าตลอด สถานการณ์ดังกล่าวยิ่งทำให้ขวัญประชาชนทั้ง 2 ประเทศหวั่นผวาไม่มีสิ้นสุด ขณะเดียวกันคนไทยที่ไปดำเนินธุรกิจที่กัมพูชา ก็ได้รับคำสั่งให้เตรียมรับสถานการณ์ และบางส่วนก็เริ่มทยอยเดินทางกลับประเทศไทยแล้ว
หนึ่งในกลุ่มธุรกิจคนไทย มีธุรกิจขายตรงรวมอยู่ด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้หลายบริษัท ได้เข้าไปขยายเปิดตลาดใหม่ในกัมพูชา ล่าสุด “เส้นทางนักขาย” ได้ติดตามสอบถามความเคลื่อนไหวของกลุ่มบริษัทขายตรงดังกล่าว
ทพญ.ลพา วัชรศรีโรจน์ ประธานผู้ก่อตั้ง บริษัท เอมสตาร์ เน็ตเวิร์ค จำกัด เปิดเผย “เส้นทางนักขาย” ว่า แม้ว่าขณะนี้ เหตุการณ์ทางด้านการเมือง จะอยู่ในระหว่างความตึงเครียด แต่ตนคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติของการกระทบกระทั่งกันระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งสำหรับศูนย์สาขาของเอมสตาร์ที่กรุงพนมเปญนั้น ยังคงเปิดทำธุรกิจอยู่ตามปกติ โดยส่วนตัวแล้วคิดว่าปัจจัยทางการเมือง เป็นปัจจัยที่ค่อนข้างกว้าง แต่ในส่วนของธุรกิจเอมสตาร์นั้น เป็นธุรกิจที่อยู่ในเฉพาะกลุ่ม จึงทำให้ไม่ได้รับผลกระทบอะไร
และพนักงานของศูนย์สาขาเอง ยังคงรักเป็นมิตรกับประเทศไทยและคนไทย และมองว่าธุรกิจเอมสตาร์ไปสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับประชาชนกัมพูชา อีกทั้งศูนย์สาขาของเอมสตาร์นั้น เป็นการลงทุนของบริษัทฯเอง100% ทิศทางการบริหารจึงชัดเจน ทำให้ตอนนี้ยังคงไม่มีนโยบายอะไรใหม่ นอกจากการทำธุรกิจต่อไปตามปกติ
ด้านนายอิทธิศักดิ์ อำพันยุทธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท คังเซน–เคนโก อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เปิดเผยว่า ในส่วนของบริษัทฯนั้น ตนยังไม่ค่อยมีความกังวลใจเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว เนื่องจากคิดว่าปัญหาทางการเมืองยังอยู่ในวงกว้าง ขณะที่ธุรกิจขายตรงยังอยู่ไกลจากปัญหา
อีกทั้งบริษัทยังไม่มีการลงทุนเปิดธุรกิจขนาดใหญ่ ในพื้นที่ของประเทศกัมพูชา แม้ว่าปัจจุบัน จะมีสมาชิกบริษัทเป็น ชาวกัมพูชาอยู่ประมาณ 300 -400 คน แต่ขณะนี้ก็ยังคงมีการเดินทางเข้ามาซื้อของในไทยอยู่สม่ำเสมอตามปกติ ไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด
ทางด้านพญ.นลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สายไลน์ยูนิตี้ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯมีศูนย์สาขาที่กัมพูชาทั้งหมด 3 สาขา มีสมาชิกรวมประมาณ 2- 3 พันคน โดยเมื่อประมาณ 2 – 3 วันที่ผ่านมา ตนเพิ่งได้ทำการเช็คความเคลื่อนไหวไปและได้รับทราบว่า ทุกแห่งยังคงมียอดจำหน่ายอยู่ตามปกติ โดยไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด ซึ่งปกติในแต่ละเดือนจะมียอดขายอยู่ที่ประมาณ 1 – 2 ล้านบาท/สาขา
ส่วนตัวแล้วพบว่าชาวกัมพูชายังคงเป็นมิตรกับธุรกิจไทยอยู่ อีกทั้งส่วนหนึ่งทั้งเจ้าของไลเซ่นและพนักงานแต่ละสาขาก็เป็นชาวกัมพูชาทั้งหมด ทำให้ตอนนี้ตนจึงยังไม่มีการวางนโยบายใหม่เข้าไปเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ทุกคนยังคงประกอบธุรกิจตามปกติ
อย่างไรก็ตามทางด้าน ภก.ประเสริฐ หวานยิ่ง ประธาน บริษัท วิน วิน เวิล์ดไวด์ จำกัด ผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ขายตรงการเกษตร เปิดเผยว่า ตั้งแต่เกิดเรื่องดังกล่าว ส่งผลกระทบเพียงเล็กน้อย เพราะทำให้สมาชิกของบริษัท ที่เป็นชาวกัมพูชาหยุดซื้อสินค้าทั้งหมด แต่ตนก็ยังไม่มีความกังวลใจเท่าใด เนื่องจากจำนวนสมาชิกและยอดซื้อสินค้า เมื่อเทียบกับยอดขายในไทยแล้ว ยังเป็นเพียงยอดเล็กน้อยในหลักแสนบาทเท่านั้น อีกทั้งตนไม่ได้มีการเข้าไปเปิดธุรกิจในพื้นที่ของกัมพูชา จึงไม่มีความกังวลใดๆ แต่ทั้งนี้ก็อยากให้ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นดังกล่าวยุติลงด้วยดีในเร็ววัน เพราะอยากให้ไทยกับกัมพูชากลับมาเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกันมากกว่า
อ้างอิง : นสพ.เส้นทางนักขาย ปีที่ 7 ฉบับที่ 168 ปักษ์หลัง ประจำวันที่ 16-30 พฤศจิกายน 2552 ป้ายกำกับ: ขายตรง, ธุรกิจขายตรง, ธุรกิจเครือข่าย, ธุรกิจ mlm, agel, amway, herbalife, mlm, network marketing, nuskin, unicity, usana
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น